ประกันชีวิต (Life insurance) มี 4 แบบ ได้แก่
แบบมีระยะเวลา (Term) ผู้เอาประกันจ่ายเบี้ยประกันทุกปีภายในระยะเวลาประกัน เช่น 5 ปี หรือ 10 ปี หากเขาเสียชีวิตในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทประกันจะจ่ายทุนประกัน ให้แก่ผู้รับประโยชน์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาชีพเสี่ยงอันตราย หรือกำลังมีหนี้สิน เช่นผ่อนบ้านค้างอยู่ แบบมีระยะเวลา เบี้ยประกันจะไม่สูงมากนัก เพราะในกรณีไม่มีเหตุร้ายใดๆเกิดขึ้น ทั้งผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์ก็จะไม่ได้อะไร เป็นเงินที่จ่ายแล้วจ่ายเลย
แบบตลอดชั่วอายุ (Whole life) ผู้เอาประกันจ่ายเบี้ยประกันจนถึงเวลาที่กำหนด บริษัทประกันจะจ่ายทุนประกัน ให้แก่ผู้รับประโยชน์ หากผู้เอาประกันเสียชีวิตเวลาใดก็ตาม และจะจ่ายทุนประกันให้แก่ผู้เอาประกัน หากเขาอายุครบ 90-99 ปี (ตามระบุในกรมธรรม์) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างหลักประกันให้แก่ครอบครัว แบบตลอดชั่วอายุเบี้ยประกันจะสูงกว่าแบบมีระยะเวลา เพราะไม่ว่ากรณีใดเกิดขึ้น บริษัทประกันก็ต้องจ่ายทุนประกันให้แก่ผู้เอาประกันหรือผู้รับประโยชน์อยู่ดี แต่เบี้ยประกันจะถูกกว่าแบบสะสมทรัพย์ เพราะเน้นการคุ้มครองมากกว่าการออมทรัพย์
แบบสะสมทรัพย์ (Endowment) เป็นการทำประกันที่พ่วงการออมทรัพย์เข้าไปในการคุ้มครอง ผู้เอาประกันจ่ายเบี้ยประกันทุกปีจนถึงเวลาที่กำหนด บริษัทประกันจะทยอยจ่ายเงินปันผลคืนเป็นระยะๆ และจ่ายทุนประกันให้แก่ผู้เอาประกัน เมื่อสิ้นสุดเวลาประกัน เช่น 10 ปี หรือ 15 ปี แต่หากผู้เอาประกันเสียชีวิตในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทประกันจะจ่ายทุนประกัน ให้ผู้รับประโยชน์แทน แบบสะสมทรัพย์เบี้ยประกันจะสูง เพราะหากไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับผู้เอาประกัน เบี้ยประกันที่เขาจ่ายไปก็ไม่ได้สูญเปล่า แต่มีการขยายดอกผลด้วย ช่วยให้วางแผนการเงินได้ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการคุ้มครอง และต้องการออมทรัพย์ไปด้วย
แบบบำนาญ (Annuity) เป็นการทำประกันที่พ่วงการออมทรัพย์สำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณเข้าไปในการคุ้มครอง ผู้เอาประกันจ่ายเบี้ยประกันทุกปีจนถึงระยะเวลาที่กำหนด (มักจะใช้อายุเกษียณ เช่น 60 ปี) หลังจากนั้นบริษัทประกันจะจ่ายเงินบำนาญคืนให้ทุกๆปี ตลอดชีพของผู้เอาประกัน (หรือถึงระยะเวลาที่กำหนด เช่น 90 ปี) กรณีผู้เอาประกันเสียชีวิต บริษัทประกันจะจ่ายทุนประกันให้แก่ผู้รับประโยชน์ด้วย แบบบำนาญเบี้ยจะสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรายได้หลังเกษียณ