ลงทุนอย่างรู้เท่าทัน : จะเป้าหมายเล็กหรือใหญ่ก็จัดพอร์ตให้บรรลุได้ด้วยกองทุนรวม

24 ธันวาคม 2567
อ่าน 4 นาที


เราทุกคนล้วนมีเป้าหมายทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว เช่น เก็บเงินไปเที่ยว
ต่างประเทศ หรือเก็บเงินเพื่อดาวน์รถ ดาวน์บ้าน หรือเป้าหมายระยะยาว เช่น เก็บเงินเพื่อเกษียณ นอกจาก
การเก็บออมที่เราคุ้นเคยกันแล้ว การลงทุนถือเป็นอีกทางเลือกหรือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เราบรรลุ
เป้าหมายการเงินได้ แต่การลงทุนที่ดีต้องรู้จักการจัดสรรสินทรัพย์ หรือที่เรียกว่า asset allocation

ลงทุนแบบไหนที่เรียกว่า ‘กระจายความเสี่ยง’

การลงทุนแบบการจัดสรรสินทรัพย์ หรือ asset allocation คือ การกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์
หลายประเภท เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ หุ้น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีระดับความเสี่ยงและผลตอบแทน
ที่แตกต่างกันไป เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนที่กระจุกตัวในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งและมีโอกาส
ได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวด้วย

นอกจากนี้ ในสินทรัพย์ประเภทเดียวกันก็มีระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แตกต่างกันได้ ก็สามารถ
กระจายการลงทุนได้อีก เช่น ลงทุนในตราสารหนี้อาจลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล (ตราสารหนี้ภาครัฐ) และหุ้นกู้
(ตราสารหนี้ภาคเอกชน) ส่วนการลงทุนในหุ้น ก็สามารถกระจายการลงทุนไปในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น
กลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรืออาจแบ่งกลุ่มเป็นการลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี หุ้นเติบโตสูง
หุ้นขนาดกลาง-ขนาดเล็ก หรือกระจายประเทศ เช่น หุ้นไทย หุ้นจีน หุ้นสหรัฐ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า การกระจายความเสี่ยง ทำได้ทั้งในระดับของการกระจายสัดส่วนลงทุนในสินทรัพย์ที่แตกต่างกัน
และกระจายภายในสินทรัพย์ประเภทเดียวกันได้ด้วย เนื่องจากผลตอบแทนของสินทรัพย์แต่ละตัวไม่ได้ให้
ผลตอบแทนที่สูงหรือต่ำในทุกช่วงเวลา หรือเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้ตลอดไป

มาดูตัวอย่างกันหน่อย กรณีที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา หุ้นแต่ละกลุ่มได้รับผลกระทบ
แตกต่างกัน โดยหากช่วงนั้นเรามีการลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น หุ้นสายการบินและโรงแรม
จะได้รับผลกระทบรุนแรง เพราะเกือบทั่วโลกมีการล็อกดาวน์จึงแทบจะไม่มีการเดินทางและท่องเที่ยว แต่หาก
เราลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีกลับได้รับประโยชน์จากพฤติกรรมของคนที่ต้องอยู่บ้าน ทำงานที่บ้านเป็นหลัก
ต้องประชุมผ่านโปรแกรม เช่น Zoom หรือ Microsoft Teams ทำให้หุ้นกลุ่มนี้ได้รับประโยชน์จะเห็นว่า
การกระจายการลงทุนไปในธุรกิจหลากหลายกลุ่มจึงมีประโยชน์ในการช่วยลดความเสี่ยง

การลงทุนเป็นพอร์ตด้วยกองทุนรวม

การลงทุนในกองทุนรวมมีข้อดีที่สำคัญประการหนึ่ง คือ กองทุนรวมจะมีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ได้
หลายประเภท หรือมีการลงทุนเป็นพอร์ต เช่น กองทุนหุ้น นอกจากจะมีสัดส่วนหุ้นเป็นหลักมาแล้ว ยังสามารถ
มีการลงทุนในตราสารหนี้ และเงินฝากได้ด้วย หรือกองทุนที่สามารถลงทุนในหุ้นทั่วโลก ก็สามารถกระจาย
การลงทุนในหลายประเทศ เช่น อเมริกา จีน และยังกระจายไปในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการ
เติบโตสูง เช่น หุ้นกลุ่ม IT กลุ่มสินค้าเบรนด์เนมหรือสินค้าหรูหรา และกลุ่มสื่อสาร เป็นต้น (ตัวอย่างตามภาพ)



นอกจากนี้ ยังมีกองทุนรวมประเภท Thematic Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนตามกระแสเมกะเทรนด์เน้นธีม
เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจหรือสังคม เช่น สังคมผู้สูงอายุ เทคโนโลยีหรือธีม Health
care ก็จะกระจายลงทุนในหลายธุรกิจ เช่น ธุรกิจผู้ผลิตยา ธุรกิจที่ให้บริการด้านสาธารสุข เช่น โรงพยาบาล
หรือธุรกิจผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ แต่โดยที่กองทุนประเภทนี้มีการลงทุนเป็นธีม ก็อาจทำให้มีการ
กระจายความเสี่ยงจะน้อยกว่ากองทุนรวมทั่วไป

มาดูตัวอย่างจัดพอร์ตตามเป้าหมายการเงินด้วยกองทุนรวมกัน

  • เป้าหมายระยะสั้น : เก็บเงินเที่ยวญี่ปุ่น 50,000 บาท ภายใน 1 ปี
ต้องเก็บเงินเดือนละ 4,166 บาท เป็นเวลา 12 เดือน ถ้ารับผลขาดทุนได้น้อยหรือแทบไม่ได้เลย ควรเลือก
ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงและระดับความเสี่ยงต่ำ เพื่อไม่ให้เงินต้นหรือเงินออมมีความผันผวนหรือ
มีความเสี่ยงต่อผลขาดทุนเมื่อต้องการใช้เงิน สามารถใช้เงินได้ตามจำนวนที่ต้องการเมื่อครบกำหนดเวลา
ตามแผน

กรณีเป้าหมายนี้ อาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ ซึ่งจะลงทุน
เงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงหรืออาจสูงกว่า
เงินฝากเล็กน้อย เช่น 2% ต่อปีเหมาะกับเป้าหมายการเงินระยะสั้น ที่ไม่ต้องการรับความผันผวน

  • ​เป้าหมายระยะยาว : เก็บเงินเพื่อใช้ยามเกษียณ 10 ล้านบาท ภายใน 30 ปี
เป็นเป้าหมายสำคัญ แต่มีระยะเวลาการลงทุนที่ยาวถึง 30 ปี หรือ 360 เดือน สามารถเลือกลงทุนในกองทุน
ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เพื่อสร้างโอกาสในการได้รับผลตอบแทนสูงได้ โดยหากเราเป็นผู้ยอมรับความเสี่ยงสูงได้
ก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นได้ซึ่งพอร์ตของกองทุนหุ้นจะลงทุนในหุ้นเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะเลือก
หุ้นธีมไหน กลุ่มไหน เช่น สนใจกลุ่มเทค อยากลงทุนแนวยั่งยืน หรือเป็นสายหุ้นต่างประเทศ สนใจแบบไหน
ก็ลองศึกษานโยบายการลงทุนกองทุนรวมที่ตนเองสนใจ

หรือจะลงทุนใน RMF SSF หรือ Thai ESG ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะเป็นกองทุนรวมที่มีเป้าหมายส่งเสริมการ
ออมระยะยาวเพื่อเกษียณ และได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างไรก็ดี ผู้ที่ลงทุนในกองทุนที่มีสิทธิประโยชน์
ทางภาษี อย่าลืม! ศึกษาเงื่อนไขการลงทุนด้วย

การลงทุนยาว ๆ จะมีข้อดีคือได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้น ตัวอย่างเช่น ตามเป้าหมายนี้ หากเราลงทุน
ในกองทุนหุ้นที่ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี เป็นเวลา 30 ปี เราจะออมเงินเพียงเดือนละ 6,710 บาท ก็จะ
มีเงิน 10 ล้านบาท เมื่อครบ 30 ปี เปรียบเทียบกับหากเราฝากเงินได้ดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี เราต้องเก็บ
เงินเดือนละ 22,012 บาท ตามตัวอย่างจะเห็นได้ว่าหากเป็นการลงทุนระยะยาว เราอาจเลือกลงทุนใน
กองทุนรวมหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เพื่อช่วยลดภาระการออมต่อเดือน หรือช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับ
ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้

นอกจากนี้ กองทุนรวมยังมีข้อดีอื่น ๆ อีก เช่น บริหารจัดการโดยผู้มีประสบการณ์และความรู้ กองทุนรวม
มีผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) ที่จะคอยดูแลและจัดการพอร์ตการลงทุนให้กับผู้ลงทุน โดยใช้ความรู้
และประสบการณ์ในการเลือกสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติบโต สะดวกและง่ายต่อการลงทุน ผู้ลงทุน
ไม่จำเป็นต้องเลือกสินทรัพย์ต่างๆ ด้วยตัวเอง หรือมีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับตลาดการเงิน เพียงแค่เลือกกองทุน
ที่ตรงกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ใช้เงินไม่มากในการเริ่มลงทุน ปัจจุบัน มีเงิน 100 บาท ก็ลงทุน
ในกองทุนรวมได้แล้ว ผู้ลงทุนสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายได้ซึ่งเหมาะสมกับผู้ลงทุนที่เริ่มต้นและ
มีเงินทุนไม่มาก สำหรับคนที่ลงทุนในหลายกองทุน อย่าลืม! เช็กอีกครั้งว่า แต่ละกองทุนนั้น ลงทุนใน
สินทรัพย์ หรือในบริษัทเดียวกันหรือไม่ เพื่อป้องกันการกระจุกตัวของพอร์ตการลงทุน

หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว เราควรพิจารณาเรื่องการลงทุนแบบจัดสรรสินทรัพย์ หรือ asset allocation ด้วยเสมอ โดยหากเราไม่มีความเชี่ยวชาญในการจัดพอร์ตลงทุนให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่
รับได้ และเป้าหมายการลงทุน เราอาจเลือกลงทุนในกองทุนรวม เนื่องจากการลงทุนในกองทุนรวมเป็น
เครื่องมือที่ดีในการลงทุนเป็นพอร์ต และมีการกระจายความเสี่ยงในตัวเอง ซึ่งการเลือกนโยบายการลงทุน
ของกองทุนรวมหรือสัดส่วนพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม จะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถรับมือกับความผันผวน
ของตลาด และสร้างผลตอบแทนเพื่อบรรลุเป้าหมายการเงินภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้

                                                    **************************​