มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป
และผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศไทย

22 สิงหาคม 2566
อ่าน 4 นาที




รู้หรือไม่...มาตรการ CBAM มีผลกระทบต่อภาคธุรกิจส่งออกของไทยไปสหภาพยุโรปอย่างไร และสำคัญต่อ
บริษัทจดทะเบียนอย่างไร รวมทั้งบริษัทจดทะเบียนควรทำอย่างไรเพื่อรองรับกับมาตรการนี้

ด้วยสภาพแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างให้ความสำคัญกับการรักษาความสมดุล
ของสิ่งแวดล้อมที่ดี โดยมีมาตราการต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ
คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สหภาพยุโรปก็เช่นกันซึ่งถือเป็นภูมิภาคที่มีมาตรการในการบริหารจัดการด้านการ
เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเข้มข้น โดยตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 สหภาพยุโรปได้นำ “กลไกซื้อขายสิทธิใน
การปล่อยก๊าซเรือนกระจก" มาใช้เป็นภาคบังคับแห่งแรกของโลก

"CBAM" คือ อะไร??

“CBAM” คือ มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment) หนึ่งในมาตรการ
สำคัญภายใต้ Fit For 55 ซึ่งสหภาพยุโรปได้ประกาศใช้ภายใต้นโยบาย the European Green deal (พร้อม
ทั้งการบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions ปี 2050) ล่าสุดรัฐสภายุโรปมีมติเห็นชอบร่างกฎหมาย CBAM
(เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2566) และอยู่ระหว่างออกกฎหมายลำดับรอง โดยในช่วงแรกจะบังคับใช้ตั้งแต่
วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2566 – 31 ธันวาคม พ.ศ. 2668 หรือที่เรียกว่า “ช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transitional
period)” นั่นหมายถึง ผู้นำเข้ามีหน้าที่ต้องรายงานข้อมูลปริมาณสินค้าที่นำเข้าและการปล่อยคาร์บอนใ น
กระบวนการผลิต (Embedded Emissions) และจะเริ่มบังคับให้ผู้นำเข้าต้องซื้อใบรับรอง CBAM (CBAM
Certificate) ตามปริมาณจริงของการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2569
เป็นต้นไป

สำหรับในช่วงเปลี่ยนผ่าน สหภาพยุโรปจะบังคับใช้กับสินค้า 6 กลุ่ม ได้แก่ (1) เหล็กและเหล็กกล้า
(2) อะลูมิเนียม (3) ซีเมนต์ (4) ปุ๋ย (5) ไฟฟ้า และ (6) ไฮโดรเจน (ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ บางรายการด้วย
เช่น นอตและสกรูที่ทำจากเหล็กและเหล็กกล้า และสายเคเบิลที่ทำจากอะลูมิเนียม) นอกจากนี้ การฝ่าฝืนไม่
รายงานข้อมูล Embedded Emissions จากการนำเข้าสินค้า อาจมีโทษปรับระหว่าง 10 - 50 ยูโรต่อตันคาร์บอน

มาตรการ CBAM อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อผู้นำเข้าสินค้าที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสูง
หรือไม่สามารถวัดปริมาณในการปล่อยคาร์บอนดังกล่าวได้ ทำให้ผู้ผลิตและส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรป
ต้องทำการตรวจวัด ทวนสอบ และจัดทำรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต และ
เป็นแรงกดดันทางอ้อมให้ประเทศคู่ค้าต้องพัฒนากระบวนการผลิตที่คาร์บอนต่ำ จำเป็นต้องยกระดับมาตรการ
รับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศในอนาคต อีกทั้ง ยังกดดันปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ
ดำเนินธุรกิจ เช่น ความเสี่ยงทางธุรกิจ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การระดมทุน และการตัดสินใจของนักลงทุน
ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ผู้ประกอบธุรกิจในประเทศไทยตลอดจนธุรกิจที่อยู่
ในห่วงโซ่คุณค่าของกระบวนการผลิตต่าง ๆ ทั้งต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอีกด้วย

สำหรับข้อมูลการส่งออกจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศระบุว่า ในปี พ.ศ. 2565 ประเทศไทยส่งออก
สินค้าตามรายการ CBAM ไปยังสหภาพยุโรป เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 425.41 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ
14,712.33 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.49 ของการส่งออกทั้งหมดของไทยไปยังสหภาพยุโรป

ก.ล.ต. ในฐานะผู้กำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุน ซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการส่งเสริมและสนับสนุนด้านการ
ขับเคลื่อนให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ดำเนินกิจการที่คำนึงถึงประเด็นด้าน ESG และผลักดันให้ บจ. ผนวก
เรื่อง ESG เข้ามาในกระบวนการผลิต รวมถึงส่งเสริมให้มีการรายงานใน One-Report มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อ
การเตรียมตัวรองรับมาตรการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รวมถึงมาตรการในต่างประเทศซึ่งมีแนวโน้มที่จะมี
บทบาทต่อประเทศไทยมากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะธุรกิจรายที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตที่มี
ปริมาณสูง

ดังนั้น บริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีการส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรป ควรจะเริ่มศึกษาวิธีการ
คำนวณคาร์บอนดังกล่าว เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการตรวจวัด ทวนสอบ และจัดทำรายงานข้อมูล
ปริมาณการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต รวมถึงแสวงหาโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว (Green
finance) และวางแผนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในกระบวนการผลิตสินค้าส่งออกของตนเอง เช่น การ
ปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรในกระบวนการผลิต การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งนอกจากจะ
ช่วยให้ บจ. สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตในระยะยาวได้อีกด้วย

ทั้งนี้ ในภาคตลาดทุน การให้ความสำคัญกับประเด็นด้าน ESG จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ลงทุน และ
สนับสนุนให้ตลาดทุนเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้ประเทศบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
รวมถึง การขับเคลื่อนประเทศไปสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)
ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี
ค.ศ. 2065 ต่อไป​
                                    _______________________________

อ้างอิงจากบทความ "มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป และผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศไทย" โดยฝ่ายส่งเสริมความยั่งยืน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) 

อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่  https://www.sec.or.th/TH/Template3/Articles/2566/220866.pdf​