
หลังจากเราได้รู้วิธีตั้งคำถามเกี่ยวกับกองทุนรวมที่เราสนใจจากคนขายหรือผู้แนะนำการลงทุน และตัดสินใจ
ลงทุนในกองทุนรวมกันไปแล้ว บทความในตอนนี้ขอพาทุกท่านไปดูว่า หลังลงทุนเราจำเป็นต้องรู้อะไรบ้าง
ติดตามผลการดำเนินงานของกองทุนรวมเป็นประจำ
หลังจากที่เราซื้อกองทุนรวมแล้ว ราคา NAV (Net Asset Value) ต่อหน่วยลงทุน หรือมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อ
หน่วยลงทุนจะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงทุกวันทำการ แต่จะมากหรือน้อยขึ้นกับมูลค่าของทรัพย์สินที่กองทุนรวมนั้น
ไปลงทุน ยกตัวอย่างเช่น กองทุนรวมตลาดเงิน ที่เน้นลงทุนในตราสารเทียบเท่าเงินฝาก พันธบัตรรัฐบาลที่อายุ
ไม่เกิน 397 วัน ซึ่งโดยทั่วไปจะมีความผันผวนไม่มาก ดังนั้น NAV ของกองทุนรวมนี้ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงมาก
แต่หากเป็นกองทุนรวมตราสารทุน ที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัท ซึ่งมักมีความผันผวนจากผลกระทบจากต่าง ๆ
เช่น ข่าวผลประกอบการของบริษัท ภาวะเศรษฐกิจ ปัจจัยการเมือง นโยบายการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ
ก็จะทำให้ NAV ของกองทุนนี้เปลี่ยนแปลงได้ค่อนข้างมาก
การติดตามผลการดำเนินงานของกองทุนรวม เราจึงจำเป็นต้องเข้าใจในสองเรื่องด้วยกัน ได้แก่
1. การคำนวณ ราคา NAV ต่อหน่วยลงทุน หรือ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยลงทุน หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า
มูลค่าหน่วยลงทุน ซึ่งคำนวณจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิหารด้วยจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดของกองทุนรวม
ซึ่ง บลจ. จะประกาศและใช้เป็นราคาในการซื้อขายหน่วยลงทุนกับผู้ลงทุน และ
2. การคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งคำนวณอัตราการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหน่วยลงทุน ณ วันที่ซื้อ
และมูลค่าหน่วยลงทุน ณ วันที่เราสนใจ ตัวอย่างเช่น เราซื้อกองทุน XXSET เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 66 มีมูลค่า
หน่วยลงทุน 18.6865 บาท และถือครองเป็นเวลา 1 ปี ราคา ณ วันที่ 30 ต.ค. 67 กองทุน XXSET มีมูลค่า
หน่วยลงทุน 19.8527 บาท แสดงว่าเราได้กำไร 1.1662 บาทต่อหน่วยลงทุน เมื่อเทียบกับมูลค่าหน่วยลงทุนที่
เราซื้อมาจะได้กำไรคิดเป็น 6.24% ซึ่งเราสามารถติดตามผลตอบแทนหรือผลการดำเนินงานของกองทุนรวมได้
ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชันที่เราใช้ซื้อขายกองทุนรวมได้โดยไม่ต้องคำนวณเองแต่อย่างใด
การติดตามผลการดำเนินงาน จะทำให้เรารู้ว่ากองทุนของเรามีผลการดำเนินงานเป็น “บวก” หรือ “ลบ” และ
เป็นที่น่าพึงพอใจหรือไม่ หากผลการดำเนินงานไม่เป็นที่น่าพอใจหรือติดลบ เราจะได้พิจารณาตัดสินใจว่าจะ
ตัดขาดทุนและเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุนอื่นหรือสินทรัพย์ประเภทอื่นดีหรือไม่ ดังนั้น การติดตามผลการ
ดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดโอกาสการขาดทุนอย่างหนัก หรือในบางครั้งอาจทำให้เราพบโอกาสใน
การลงทุน หรือจังหวะในการซื้อกองทุนรวมเพิ่มเติม หากกองทุนนั้นมีมูลค่าหน่วยลงทุนลดลงจากปัจจัยหรือ
เหตุการณ์ชั่วคราว
เปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับ Benchmark
การติดตามผลการดำเนินงานของกองทุน นอกจากจะดูข้อมูล NAV หรือผลงานของกองทุนรวมที่เราลงทุนอยู่
ดังที่กล่าวไปแล้ว ยังสามารถดูผลการดำเนินงานโดยเปรียบเทียบกับดัชนีชี้วัด (Benchmark) และยังสามารถ
เปรียบเทียบกับกองทุนอื่นที่มีวัตถุประสงค์และนโยบายการลงทุนคล้ายกันในช่วงเวลาเดียวกัน หรือ
ผลตอบแทนที่เป็นค่าเฉลี่ยในกลุ่มเดียวกัน (Peer Performance) ได้อีกด้วย
ตัวอย่างเช่น กองทุนหุ้นที่เราถืออยู่ทำผลตอบแทนได้ 12% แต่ดัชนีชี้วัด หรือ SET Index ปิดบวกที่ 8%
หมายความว่าผู้จัดการกองทุนสามารถทำผลตอบแทนที่เอาชนะดัชนีชี้วัดได้ ในทางตรงข้าม หากกองทุนหุ้นที่
เราถืออยู่ได้ผลตอบแทนน้อยกว่า 8% ก็แปลว่าผู้จัดการกองทุนบริหารกองทุนแพ้ดัชนีชี้วัด ซึ่งผลการ
ดำเนินงานของกองทุนรวมเราสามารถดูได้จากหนังสือชี้ชวนของกองทุนรวม (Fund Fact Sheet)
เรามาดูตัวอย่างกันหน่อย กรณีนี้เป็นกองทุนรวมหุ้นที่มีนโยบายเน้นลงทุนเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มเงินทุน
และหลักทรัพย์ และกลุ่มสื่อสาร โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV และมีดัชนีชี้วัดเป็นดัชนี
ผลตอบแทนรวมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET TRI)
ตามรูป เราสามารถดูข้อมูลผลการดำเนินงานของกองทุนได้ใน Fund Fact Sheet หัวข้อ “ผลการดำเนินงาน
และดัชนีชี้วัดย้อนหลัง 5 ปีปฏิทิน” โดยจะเป็นข้อมูลผลการดำเนินงานต่อปีของกองทุนรวม เช่น หากเรา
ลงทุนในปี 2563 คือ ตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. 2563 ซึ่งเป็นวันทำการแรกของปี เปรียบเทียบกับวันที่ 30 ธ.ค. 2563
ซึ่งเป็นวันทำการสุดท้ายของปี ผู้ลงทุนจะมีผลตอบแทน -11.98% เทียบกับดัชนีชี้วัด (Benchmark) ซึ่งมีผล
การดำเนินงาน -5.24% และค่าเฉลี่ยในกลุ่มเดียวกัน (Peer) ที่ -9.61% จะเห็นว่าในปี 2563 กองทุนรวมนี้มี
ผลการดำเนินงานที่แย่กว่าดัชนีชี้วัดและค่าเฉลี่ยในกลุ่มเดียวกัน เนื่องจากมีผลการดำเนินงานติดลบเยอะกว่า
แต่ในปี 2564 จะเห็นว่ากองทุนนี้มีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าดัชนีชี้วัดและค่าเฉลี่ยในกลุ่มเดียวกัน โดยกองทุน
มีผลตอบแทนอยู่ที่ 22% ในขณะที่ ดัชนีชี้วัดและค่าเฉลี่ยในกลุ่มเดียวกัน มีผลตอบแทนที่ 17.67% และ
19.03% ตามลำดับ
ดูผลการดำเนินงานกองทุนรวมแบบปักหมุด
นอกจากนี้ เรายังสามารถดูผลการดำเนินงานกองทุนได้จากหัวข้อ “ผลการดำเนินงานย้อนหลังแบบปักหมุด”
ซึ่งจะเป็นผลการดำเนินงานย้อนหลัง เช่น หาก Fund Fact Sheet เป็นข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2567
ผลการดำเนินงานในช่อง Year to Date (YTD) จะนับตั้งแต่วันทำการแรกของปี คือ 3 ม.ค. – 30 ก.ย. 2567
เช่นเดียวกับช่วงเวลา 3 เดือน หรือ 6 เดือน เป็นผลการดำเนินงานย้อนหลัง โดยย้อนหลังนับจากวันที่ใน
Fund Fact Sheet หากเป็นผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือน คือ ลงทุนตั้งแต่ 1 เม.ย. – 30 ก.ย. 2567 จะ
ได้รับผลตอบแทนเท่ากับ 10.68% ซึ่งมากกว่าผลตอบแทนของดัชนีชี้วัดและค่าเฉลี่ยในกลุ่มเดียวกันที่มี
ผลตอบแทน 7.38% และ 4.64% ตามลำดับ
สำหรับช่วงเวลา 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี, 10 ปี และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนรวม จะเป็นผลการดำเนินงานย้อนหลังแบบ
เฉลี่ยต่อปี โดยหากลงทุนในกองทุนนี้เป็นระยะเวลา 3 ปี จะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 5.07% ซึ่งสูงกว่า
ผลตอบแทนของดัชนีชี้วัดและค่าเฉลี่ยในกลุ่มเดียวกัน ที่มีผลตอบแทน -0.41% และ -1.65% ตามลำดับ
การเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมที่กล่าวไปข้างต้น สามารถนำไปปรับใช้ได้ทั้งกรณีที่เราจะ
เลือกกองทุนรวมที่เรากำลังสนใจจะลงทุน และใช้ในกรณีตามติดตามผลการดำเนินงานของกองทุนที่เราลงทุน
ไปแล้วด้วย มาถึงตรงนี้ ทุกท่านคงเห็นความสำคัญรวมถึงมองเห็นภาพและวิธีการในการติดตามผลการ
ดำเนินงานของกองทุนรวมที่เราเลือกลงทุนไปแล้ว ไว้พบกันในบทความตอนหน้า
**************************