
ช่วงนี้ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อการพัฒนาตลาดทุนในหลายเรื่องที่สำคัญครับ หนึ่งในนั้น
เป็นเรื่องการปรับปรุงหลักเกณฑ์การทำรายการที่มีนัยสำคัญ และ การทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน ของบริษัท
จดทะเบียน ซึ่งหลักเกณฑ์ทั้งสองเรื่องนี้เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2546 – 2547 แล้วครับ เพื่อสร้างมาตรฐานการกำกับ
ดูแลกิจการที่ดีและคุ้มครองสิทธิของผู้ลงทุนให้ได้รับข้อมูลที่เพียงพอและมีส่วนร่วมตัดสินใจในการทำธุรกรรม
ที่สำคัญของบริษัทจดทะเบียน
การปรับปรุงครั้งนี้เพื่อให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบันมากขึ้น รวมทั้ง
เป็นการยกระดับการคุ้มครองสิทธิผู้ลงทุนให้ดีขึ้น โดยไม่สร้างภาระให้กับบริษัทจดทะเบียนมากเกินไป และ
ผ่อนคลายบางรายการเพื่อช่วยลดภาระและเพิ่มความคล่องตัวให้กับบริษัทจดทะเบียนอีกด้วยครับ
หากเข้าไปดูในรายละเอียดจะเห็นว่า แนวทางที่เสนอให้มีการปรับปรุงมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ทั้งวิธีการคำนวณและนับรวมรายการการดำเนินการตามขนาดรายการ และการกำหนดนิยามและข้อกำหนดต่าง ๆ พร้อมทั้งเตรียม “คู่มือ” เพื่ออำนวยความสะดวกให้บริษัทจดทะเบียนและผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถศึกษาทำความเข้าใจและช่วยให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อย่างถูกต้อง
วันนี้ผมขอนำเรื่อง “รายการที่เกี่ยวโยงกัน” ที่หลายท่านน่าจะสนใจมาคุยกันก่อนนะครับ และในโอกาสหน้า
จะนำเรื่องการทำรายการที่มีนัยสำคัญมาพูดคุยต่อไปครับ
“รายการที่เกี่ยวโยงกัน” หรือ Related Party Transaction (RPT) เป็นการทำธุรกรรมของบริษัทจดทะเบียน
(รวมบริษัทย่อย) กับบุคคลหรือนิติบุคคล ที่มีความสัมพันธ์ในลักษณะที่เข้าข่ายเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน
ของบริษัท ซึ่งอาจมีประเด็นที่ต้องระมัดระวังเกี่ยวกับเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of
Interest) เช่น การซื้อขายสินค้าหรือบริการกับกิจการที่มีผู้เกี่ยวข้องของผู้บริหารเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่การซื้อ
อสังหาริมทรัพย์จากผู้บริหารบริษัท ซึ่งการตัดสินใจดำเนินการของกรรมการและผู้บริหารอาจทำให้เกิด
ข้อสงสัยว่าเป็นการดำเนินการโดยมีผลประโยชน์ส่วนตัวในทางตรงหรือทางอ้อมหรือไม่และอาจนำไปสู่
การถ่ายเทผลประโยชน์ของบริษัทได้หากขาดกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลที่เหมาะสม ก.ล.ต. จึงมีการ
กำหนดหลักเกณฑ์เพื่อกำกับดูแลการทำรายการที่เกี่ยวโยงกันให้เป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และเป็นไปเพื่อ
ผลประโยชน์สูงสุดของบริษัท
สำหรับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ RPT ในครั้งนี้จะมี 5 ประเด็นสำคัญครับ
(1) กำหนดให้ชัดเจนว่า รายการ RPT ที่เป็น “การค้าทั่วไป” ซึ่งบริษัททำเป็นปกติเพื่อประกอบธุรกิจ
ทุกรายการ บริษัทสามารถขออนุมัติข้อตกลงทางการค้าหรือหลักการจากคณะกรรมการเพื่อให้ฝ่ายจัดการไป
ดำเนินการได้ โดยไม่ต้องขออนุมัติรายการที่เกี่ยวโยงการเป็นรายกรณีอีก เช่น ธนาคารพาณิชย์รับฝากเงินจาก
ผู้บริหารในลักษณะที่เหมือนลูกค้าทั่วไป ห้างสรรพสินค้าขายสินค้าให้กับกรรมการหรือบุคคลที่มีความ
เกี่ยวข้องที่เข้ามาซื้อสินค้าในห้างเหมือนลูกค้าทั่วไป
(2) ปรับปรุงนิยาม “ญาติสนิท” จากปัจจุบันที่หมายความว่า บุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายโลหิต หรือ
โดยการจดทะเบียนตามกฎหมาย ได้แก่ บิดา มารดา คู่สมรส พี่น้อง และบุตร รวมทั้งคู่สมรสของบุตร ปรับเป็น
กำหนดให้ ญาติสนิท ไม่รวมถึง คู่สมรส เนื่องจากซ้ำซ้อนกับนิยามผู้ที่เกี่ยวข้อง
(3) ปรับปรุงวิธีการคำนวณมูลค่ารายการ RPT จากปัจจุบันที่ใช้เกณฑ์มูลค่าสินทรัพย์ที่มีตัวตนสุทธิ(Net
Tangible Asset) มาเป็นเกณฑ์สินทรัพย์สุทธิ(Net Asset) โดยไม่ต้องนำสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนมาหักออก
เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากลและสภาวการณ์ดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนไทย รวมทั้งสอดคล้องกับ
เกณฑ์การทำรายการที่มีนัยสำคัญด้วยครับ
(4) ปรับปรุงวิธีการนับรวมรายการ RPT เพื่อให้ครอบคลุมและสะท้อนมูลค่ารายการรวมที่ทำกับกลุ่มบุคคล
ที่เกี่ยวโยงกันที่เข้าข่ายเป็นกลุ่มเดียวกันมากขึ้น จากเดิมที่จะนับรวมรายการที่ทำกับบุคคลที่เกี่ยวโยงกันราย
เดียวกัน รวมถึงผู้เกี่ยวข้องและญาติสนิทของบุคคลนั้นเท่านั้น แนวทางที่เสนอปรับปรุง คือ ในกรณีบุคคล
ที่เกี่ยวโยงกันเป็นนิติบุคคล จะนับรวม “ผู้มีอำนาจควบคุมกิจการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน
รายนั้น” รวมถึงผู้เกี่ยวข้องและญาติสนิทด้วย
สำหรับการระยะเวลาการนับรวมรายการยังคงเป็นรายการที่เกิดขึ้นภายในรอบ 6 เดือนก่อนการเข้าทำรายการ
ยกเว้นรายการที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้วตามหลักเกณฑ์เดิม รวมทั้งอำนาจอนุมัติยังคงสอดคล้อง
กับหลักเกณฑ์เดิม เช่น รายการที่มีมูลค่าตั้งแต่20 ล้านบาทขึ้นไป หรือ ตั้งแต่ 3% ของสินทรัพย์สุทธิขึ้นไป
จะต้องขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น และเพิ่มเติมสิทธิให้ผู้ถือหุ้นจำนวนรวมกันตั้งแต่ 10% สามารถออกเสียง
คัดค้านการทำรายการได้ รวมถึงให้บริษัทจดทะเบียนต้องรายงานความคืบหน้าการทำรายการให้ผู้ลงทุนได้รับ
ทราบอีกด้วย
(5) ยกเลิกข้อกำหนดที่ให้ก.ล.ต. เป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาให้บริษัทจดทะเบียนไม่ต้องปฏิบัติตาม
เกณฑ์RPT หากบริษัทจดทะเบียนพิสูจน์ได้ว่ารายการนั้นมีความเป็นธรรมและไม่เป็นการถ่ายเทผลประโยชน์
เนื่องจาก พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ กำหนดให้เป็นหน้าที่ของกรรมการและผู้บริหารในการพิจารณาการทำรายการ RPT ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต รวมทั้งต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย
วัตถุประสงค์ ข้อบังคับของบริษัท มติคณะกรรมการ และมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น
แม้จะยกเลิกการใช้ดุลพินิจในข้อนี้แล้ว แต่ ก.ล.ต. ยังมีอำนาจพิจารณาว่าการทำรายการใดของบริษัทและ
บริษัทย่อยเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันที่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในกรณีที่เห็นว่าเนื้อหาสาระที่แท้จริงของ
การทำรายการเข้าลักษณะตามที่หลักเกณฑ์กำหนดหรือมีเจตนาหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์รวมถึง
หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าบริษัทมีเจตนาทำรายการแยกเป็นหลายรายการเพื่อหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตาม
หลักเกณฑ์ที่กำหนด ก.ล.ต. มีอำนาจพิจารณานับรวมรายการต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นรายการเดียวกันได้ครับ
ก.ล.ต. คาดหวังว่า กรรมการและผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนพึงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความ
ระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต ตามหลัก Fiduciary Duty ซึ่งครอบคลุมถึงหลักความระมัดระวัง (Duty
of Care) ในการตัดสินใจทางธุรกิจเยี่ยงวิญญูชนจะพึงกระทำ โดยสุจริตบนพื้นฐานของข้อมูลที่เชื่อว่าเพียงพอ
เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัท และหลักความซื่อสัตย์สุจริต (Duty of Loyalty) ในการจัดการความขัดแย้ง
ทางผลประโยชน์ของตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการตัดสินใจนั้นเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์ของบริษัทอย่างแท้จริง และไม่แสวงหาประโยชน์ส่วนตนโดยมิชอบ ซึ่งการยึดมั่นในหลักการดังกล่าว
ถือเป็นรากฐานสำคัญของการกำกับดูแลกิจการที่ดี และจะช่วยสร้างความยั่งยืนให้แก่กิจการ รวมถึงสร้างความ
เชื่อมั่นให้แก่ผู้ลงทุนในระยะยาวครับ
**************************
จากบทความ "รายการที่เกี่ยวโยงกัน: ความสัมพันธ์ที่อาจทำให้ขัดแย้งทางผลประโยชน์" โดยนายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในคอลัมน์ "คุยกับ ก.ล.ต." นสพ.กรุงเทพธุรกิจ