ก.ล.ต. รุกต่อเนื่อง ป้องกันและยับยั้งภัยหลอกลงทุน

03 ธันวาคม 2568
อ่าน 4 นาที



อย่างที่ทุกท่านทราบกันนะครับว่า ปัญหา “ภัยหลอกลวงลงทุน” และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (Scammer)
นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งวิธีการและรูปแบบที่ซับซ้อนแยบยลมากขึ้น และแพร่กระจายวงกว้าง
สร้างความเสียหายให้กับประชาชนมูลค่ามหาศาล ซึ่งภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้ง ก.ล.ต. ได้ให้ความสำคัญ
ในการป้องกันและปราบปรามอย่างต่อเนื่องจริงจังครับ

สำหรับการดำเนินการของ ก.ล.ต. ผมขอเล่าย้อนไปเมื่อปี 2566 ก.ล.ต. ได้จัดตั้ง “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน
1207 กด 22” ขึ้น เพื่อเป็น “ศูนย์กลางการให้บริการแบบครบวงจร” โดยดำเนินนโยบายในเชิงรุก
เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ ลดความเสียหายไม่ให้กระจายออกไปในวงกว้าง รวมทั้งเป็น
ที่พึ่งและที่ปรึกษาให้กับประชาชนในด้านการป้องกันภัยหลอกลงทุน เพิ่มเติมจากการเสริมสร้างความรู้แก่
ประชาชนอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นกลไกในการปกป้องตนเองจากมิจฉาชีพ

ที่ผ่านมามีประชาชนแจ้งเบาะแสและขอคำปรึกษาเรื่องภัยหลอกลงทุนมาที่ “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน
1207 กด 22” จำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องครับ ทั้งทางโทรศัพท์ เว็บไซต์ อีเมล และ walk-in
เข้ามาที่สำนักงาน ก.ล.ต. โดยจากข้อมูลล่าสุดตั้งแต่ต้นปี ถึงเดือน ต.ค. 68 ก.ล.ต. ได้รับแจ้งเบาะแสหลอก
ลงทุนรวม 8,795 ครั้ง ซึ่งสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับทั้งปี 2567 ที่ได้รับแจ้งมาทั้งหมด 5,590 ครั้งครับ

และด้วยนโยบายการทำงานในเชิงรุกของ ก.ล.ต. เมื่อได้รับแจ้งเบาะแสเข้ามาแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ
จนมั่นใจว่าเป็นการหลอกลงทุนจริง จากนั้นจะประสานผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและหน่วยงาน
ภาครัฐเพื่อปิดกั้นช่องทางการหลอกลงทุนบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ให้เร็วที่สุด ไม่ให้ความเสียหายกระจาย
ออกไปสู่วงกว้าง โดยปัจจุบันผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, TikTok, Instagram และ
LINE ปิดกั้นไปแล้ว 100% ภายในเวลา 7 นาที – 48 ชั่วโมง

เพื่อป้องกันก่อนที่ความเสียหายจะเกิดขึ้น ก.ล.ต. ไม่ได้รอให้ประชาชนแจ้งเบาะแสเพียงอย่างเดียว แต่ ก.ล.ต.
ยังใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการตรวจจับการชักชวนหลอกลงทุนบนสื่อโซเชียลมีเดีย และจัดทำเครื่องมือต่าง ๆ
เพื่อช่วยให้ประชาชนได้ “เอ๊ะ!” ก่อนตัดสินใจ เช่น “SEC Check First” สำหรับตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจ
หรือผู้แนะนำ ที่ได้รับอนุญาตหรือเห็นชอบจาก ก.ล.ต. และ “SEC Investor Alert” สำหรับตรวจสอบ
รายชื่อที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. รวมทั้งจัดทำเว็บไซต์ Scam Center เพื่อเป็นศูนย์รวมความรู้เกี่ยวกับ
การหลอกลงทุนรูปแบบต่าง ๆ

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ในการป้องกันการถูกชักชวนหลอกลงทุน เพราะไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยนะครับที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้
หลายประเทศทั่วโลกที่เผชิญปัญหานี้ก็ร่วมมือกันอย่างเต็มที่

ในภาคตลาดทุนทั่วโลก องค์กรกำกับดูแลตลาดทุนระหว่างประเทศ (IOSCO) ได้พัฒนาระบบ IOSCO
International Securities and Commodities Alerts Network หรือ I-SCAN เพื่อรวบรวมข้อมูลพฤติกรรม
ที่เข้าข่ายหลอกลวงลงทุน บริษัทที่ไม่ได้รับใบอนุญาต และการกระทำที่น่าสงสัย จากประเทศสมาชิก โดยนำ
รายชื่อเหล่านั้นมาขึ้นเตือนให้ผู้ลงทุนและหน่วยงานอื่นตรวจสอบได้ ที่เว็บไซต์ https://www.iosco.org/i-scan/
ซึ่งจากข้อมูล ณ วันที่ 12 พ.ย. 68 ในระบบ I-SCAN มีการขึ้นเตือนทั้งหมด 37,956 รายชื่อ จากมากกว่า
130 ประเทศทั่วโลก โดยในจำนวนนี้เป็นรายชื่อที่ ก.ล.ต. แจ้งไปจำนวน 1,036 รายชื่อ

ก.ล.ต. ยังเข้าร่วมเป็นคณะทำงานด้าน Scams และ Online Harms ใน IOSCO APRC Working Group
ร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลจากหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อวางแนวทางความร่วมมือและ
แนวทางดำเนินการป้องกันการฉ้อโกงออนไลน์กับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Meta และ Google
ซึ่งล่าสุดมีความคืบหน้าไปมากแล้วครับ คาดว่าในปีหน้าน่าจะมีอะไรมาเล่าให้ฟังกันครับ

นอกจากการป้องกันและยับยั้งการหลอกลวงลงทุนแล้ว ก.ล.ต. ยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้
เกิดการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน โดยร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชนกำหนดมาตรฐาน
ป้องกันและจัดการบัญชีม้า ซึ่งจนถึงสิ้นเดือน ต.ค. 68 ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลระงับบัญชีม้าสินทรัพย์
ดิจิทัลไปแล้วกว่า 44,000 บัญชี มูลค่ารวมประมาณ 219 ล้านบาท และที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ร่วมผลักดัน
กฎหมายที่ช่วยยกระดับมาตรการสกัดกั้นบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และกำหนดให้
ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต้องมีความรับผิดร่วม (shared responsibility) ต่อความเสียหายของ
ผู้ใช้บริการหากไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานหรือมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

รวมทั้งยกระดับมาตรการป้องกันการใช้แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศเป็นช่องทางฟอกเงิน
โดยร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อปิดกั้นเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการ
สินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศที่มีพฤติกรรมการชักชวนหรือโฆษณาการให้บริการ (solicit) ผู้ลงทุนในประเทศไทย
ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบัน มีการนำส่งให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปิดกั้นแพลตฟอร์มซื้อขาย
สินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาตแล้ว 5 แพลตฟอร์ม ตลอดจนขยายความร่วมมือในการจัดการปัญหา
อาชญากรรมทางเทคโนโลยีระหว่างภาคธนาคาร ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งการร่วมลงนาม MOU ระหว่าง 15 หน่วยงานภาครัฐ ในการร่วมกันปราบสแกม และการร่วมคณะทำงาน
กับหน่วยงานภาครัฐ/เอกชนต่าง ๆ ในการปราบสแกม

มาถึงตรงนี้ น่าจะพอคุยได้ว่า ก.ล.ต. มีบทบาทในการเป็นศูนย์กลางให้บริการเรื่องภัยหลอกลงทุนแบบครบ
วงจร ตั้งแต่...
  • รับแจ้งเบาะแสและให้คำปรึกษาเรื่องภัยหลอกลงทุนในเชิงรุก
  • ปิดกั้นช่องทางการหลอกลงทุนบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ให้เร็วที่สุด
  • ใช้เทคโนโลยีช่วยในการตรวจจับการชักชวนหลอกลงทุนบนสื่อโซเชียลมีเดีย
  • จัดทำเครื่องมือช่วยให้ประชาชน “เอ๊ะ!” ก่อนตัดสินใจ
  • ร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน ทั้งในและต่างประเทศในการป้องกันการถูกชักชวนหลอกลงทุน
​และยกระดับมาตรการป้องกันและยับยั้งการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงิน เพื่อให้ตลาดทุนไทย
ปลอดภัยจากภัยหลอกลงทุนและอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างยั่งยืนครับ

                                           ************************** 

จากบทความ "ก.ล.ต. รุกต่อเนื่อง ป้องกันและยับยั้งภัยหลอกลงทุน" ​โดยนายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในคอลัมน์ "คุยกับ ก.ล.ต." นสพ. กรุงเทพธุรกิจ​