ออปชั่น

04 ตุลาคม 2562
อ่าน 3 นาที
​​ออปชั่นคืออะไร ?

ออปชั่น (options) เป็นสัญญาที่กำหนดให้คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นผู้ขาย ให้สิทธิคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นผู้ซื้อ ในการซื้อหรือขายสินค้าในราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าภายในเวลาที่กำหนด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สัญญาที่ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อที่จะเรียกให้ผู้ขายส่งมอบสินค้า หรือชำระราคา หรือชำระส่วนต่างราคาของสินค้าตามที่กำหนดไว้ในสัญญา โดย ผู้ซื้อ options จะเลือกใช้สิทธิหรือไม่ก็ได้หากผู้ซื้อเลือกใช้สิทธิ ผู้ขายก็มีภาระต้องปฏิบัติตามสัญญา 

โดยทั่วไป ออปชั่นแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ คอลออปชั่น (call options) ซึ่งให้สิทธิกับผู้ซื้อออปชั่นในการ "ซื้อ" สินค้าจากผู้ขายออปชั่นในราคาที่กำหนด และ พุทออปชั่น (put options) ซึ่งให้สิทธิกับผู้ซื้อออปชั่นในการ "ขาย" สินค้าแก่ผู้ขายออปชั่นในราคาที่กำหนด 

ปัจจุบัน TFEX ได้เปิดให้มีการซื้อขายออปชั่น ได้แก่ SET 50 index options

 

เราใช้ประโยชน์จากการลงทุนในออปชั่นได้อย่างไร?
ในการลงทุนในออปชั่น ผู้ลงทุนผู้ซื้อออปชั่นจ่าย “ค่าพรีเมี่ยม” ให้กับผู้ขายออปชั่น (ค่าพรีเมี่ยม คือราคาของออปชั่นที่ตกลงซื้อขายกันเพื่อที่จะได้สิทธิตามสัญญา)
ส่วนกำไรหรือขาดทุนจากการลงทุนนั้น คำนวณจาก (1) ต้นทุนค่าพรีเมี่ยมหรือราคาของออปชั่นที่จ่ายไปในการซื้อออปชั่น (หรือค่าพรีเมี่ยมที่ได้รับจากการขายออปชั่น) ในตอนแรก เทียบกับค่าพรีเมี่ยมของออปชั่นจากการขาย (หรือซื้อ) เพื่อล้างฐานะ หรือ (2) หากผู้ซื้อออปชั่นเลือกที่จะถือออปชั่นไว้จนครบอายุ ก็จะสามารถคำนวณกำไรหรือขาดทุนได้ โดยการเปรียบเทียบราคาใช้สิทธิของออปชั่นกับราคาที่ใช้ชำระราคาวันสุดท้าย (final settlement price) เพื่อพิจารณาว่าควรจะใช้สิทธิหรือไม่ กรณีใช้สิทธิก็จะได้กำไรเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาใช้สิทธิกับราคาที่ใช้ชำระราคาวันสุดท้าย หักด้วยค่าพรีเมี่ยมที่จ่ายไปในตอนแรก แต่กรณีเลือกไม่ใช้สิทธิก็จะเสียเพียงค่าพรีเมี่ยมเท่านั้น 

ลองดูดัวอย่างการคิดกำไร-ขาดทุนจากการลงทุนใน SET 50 index options

ในวันที่ 1 เมษายน เราคาดว่าดัชนี SET50 ในอนาคตจะปรับตัวสูงขึ้น จึงซื้อ SET50 call options (ซื้อสิทธิที่จะ "ซื้อ") ซึ่งมีราคาใช้สิทธิที่ 550 จุด ในราคาพรีเมี่ยม 15 จุด เอาไว้ (โดยจ่ายเงินค่าพรีเมี่ยมไป 15 จุด x 200 บาท = 3,000 บาท) ต่อมาตลาดปรับตัวดีขึ้นตามที่เราคาดการณ์ไว้ ทำให้ราคาของออปชั่นปรับตัวสูงขึ้นด้วย แต่เราไม่อยากรอจนครบอายุเพราะไม่แน่ใจว่าต่อไปตลาดจะเป็นอย่างไร จึงต้องการรับรู้ว่าได้กำไรหรือขาดทุนเท่าไรก่อนวันครบอายุสัญญา ในวันที่ 15 พฤษภาคม เราจึงขายออปชั่นซีรีส์เดียวกันนั้นซึ่งมีราคาพรีเมี่ยม 20 จุดออกไป ดังนั้น จึงได้รับกำไรทั้งสิ้น 5 จุด (20-15) คูณด้วย 200 บาท เท่ากับ 1,000 บาท
แต่กรณีที่เราคาดว่าตลาดน่าจะปรับตัวสูงขึ้นไปอีก จึงรอจนครบอายุ และนำเอาราคาใช้สิทธิมาเทียบกับดัชนี SET50 ที่คำนวณได้ในวันซื้อขายวันสุดท้าย (ซึ่งดัชนีที่คำนวณได้นี้เรียกชื่อเป็นทางการว่า "ราคาที่ใช้ชำระราคาในวันซื้อขายวันสุดท้าย (final settlement price)") แต่ปรากฏว่า ดัชนี SET50 นั้นต่ำกว่าราคาใช้สิทธิที่เราจะได้ เช่น คำนวณดัชนี SET50 ได้ที่ 540 จุด เราก็ตัดสินใจไม่ใช้สิทธิ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิซื้อในราคาที่แพงกว่าดัชนี SET50 ของจริง  ดังนั้น จึงขาดทุนค่าพรีเมี่ยมที่จ่ายไปตอนแรก 3,000 บาท แต่หากดัชนี SET50 ณ วันสุดท้ายนั้นอยู่ที่ 580 จุดซึ่งสูงกว่าราคาใช้สิทธิที่ 550 จุด ก็จะใช้สิทธิออปชั่นนั้น และจะได้รับกำไรเท่ากับ 580-550 จุด = 30 จุด x 200 บาท คิดเป็น 6,000 บาท หักด้วยค่าพรีเมี่ยม 3,000 บาทที่จ่ายไปตอนแรก จึงเหลือกำไรทั้งสิ้น 3,000 บาท


รู้ไว้ได้ประโยชน์
  • ผู้ซื้อออปชั่น: limit loss/ unlimited gain ผู้ซื้อจ่ายเงินแค่ค่าพรีเมียม แต่หากคาดการณ์ถูกมีโอกาสทำกำไรได้สูง แต่ ในกรณีที่ผู้ซื้อไม่มีโอกาสได้ใช้สิทธิ ก็มีผลให้ขาดทุนจากค่าพรีเมี่ยม
  • ผู้ขายออปชั่น: limit gain/unlimited loss สำหรับผู้ขายออปชั่นแม้จะไม่มีต้นทุนสำหรับค่าพรีเมี่ยม แต่ก็มีความเสี่ยงจากการที่ราคาของสินค้าอ้างอิง ( SET50) มีการปรับตัวไปในทางที่เป็นประโยชน์กับผู้ซื้อออปชั่น เช่น ซื้อ SET50 call options และดัชนี SET50 ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าราคาใช้สิทธิ กรณีนี้ ผู้ขายออปชั่นจะประสบกับภาวะขาดทุนสูงมาก เพราะผู้ซื้อออปชั่นมีโอกาสใช้สิทธิสูงมาก
  • ​ในกรณีของออปชั่น หากในวันครบกำหนดสัญญา ราคาสินค้าอ้างอิงเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อออปชั่น ผู้ซื้อสามารถเลือกที่จะไม่ใช้สิทธิตามสัญญาออปชั่นได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อมีผลขาดทุนจำกัดอยู่เท่ากับค่าพรีเมียมที่จ่ายไปเพื่อซื้อออปชั่นนั้น แต่หากราคาสินค้าอ้างอิงเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อก็สามารถเลือกใช้สิทธิตามสัญญาออปชั่น ทำให้มีโอกาสได้รับผลกำไรอย่างไม่จำกัด ในขณะที่ผู้ขายออปชั่นสามารถทำกำไรได้มากที่สุดเท่ากับค่าพรีเมียมที่ได้รับจากผู้ซื้อ แต่มีโอกาสขาดทุนได้อย่างไม่จำกัด เนื่องจากต้องปฏิบัติตามสัญญาหากผู้ซื้อเลือกใช้สิทธิตามสัญญาออปชั่น 

อ่านเพิ่มเติม

เรื่องที่เกี่ยวข้อง